‘ทรัมป์’ บีบ ‘ไทย’ เพิ่มสัดส่วน Local Content ขึ้นบัญชี 49 สินค้าแอบอ้างถิ่นกำเนิด

17 กรกฎาคม 2568
‘ทรัมป์’ บีบ ‘ไทย’ เพิ่มสัดส่วน Local Content ขึ้นบัญชี 49 สินค้าแอบอ้างถิ่นกำเนิด
การแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อประกอบและส่งผ่าน (Transshipping Goods) ประเทศที่สามไปยังประเทศปลายทาง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีในอัตราสูง ได้กลายมาเป็นประเด็นสำคัญ 1 ใน 2 เรื่องที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ทำจดหมายถึงประเทศคู่ค้า ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หรือก่อนที่จะถึงเส้นตายในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) หลังวันที่ 9 กรกฎาคม แม้ว่าทรัมป์จะยอมขยายระยะเวลาการเก็บภาษีมาเป็นหลังวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แล้วก็ตาม

สินค้าแอบอ้างถิ่นกำเนิด
เฉพาะจดหมายที่ส่งถึงรัฐบาลไทยระบุว่า หลังวันที่ 1 สิงหาคม ประเทศไทย จะถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568 หรือเท่ากับว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เปิดทางให้มีการเจรจาทางการค้าเพื่อลดภาษีตอบโต้ลงมานั้น ประเทศไทยไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา โดยข้อเสนอของฝ่ายไทยที่จะลดการได้ดุลการค้าสหรัฐลงนั้น “ยังไม่เป็นที่น่าพอใจในความเห็นของรัฐบาลสหรัฐ” เนื่องจากไทยยังมีการใช้มาตรการภาษี มาตรการที่มิใช่ภาษี การใช้นโยบายอันส่งผลให้เกิดกำแพงทางการค้ากับสินค้าสหรัฐโดยตรง

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็น “ต้นทาง” ของการส่งผ่านสินค้าจากประเทศที่สาม (Transshipped) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “จีน” เพื่อหลบเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง (AD-CVD) ด้วยการนำวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปหรือสินค้าเข้ามาประกอบหรือแปรสภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าจากประเทศไทยส่งเข้าไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐ โดยพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สินค้าจีนหลายรายการที่ส่งเข้าไปในตลาดสหรัฐตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ 1 ถูกตั้งกำแพงภาษีสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการจีนย้ายโรงงานเข้ามาประกอบสินค้าในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย และเวียดนาม และทำการส่งเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐอีกทีหนึ่ง

ใน จม.ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ส่งถึงรัฐบาลไทย ได้ประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้าที่ทำการส่งผ่าน (Goods Transshipped to Evade a Higher Tariff) ในลักษณะนี้จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่า 36% ซึ่งเป็นการเรียกเก็บภาษี Transshipping Goods เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่ ประเทศเวียดนาม ถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีสูงถึง 40% เพื่อสกัดกั้นหรือปิดล้อมไม่ให้สินค้าจีนสามารถใช้วิธีแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าโดยเข้ามาตั้งโรงงานประกอบเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสูงเข้าไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐได้

โดยวิธีการหลีกเลี่ยงนี้ สหรัฐอ้างว่าได้สร้างความเสียหาย เป็นการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม และยังทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ากับประเทศเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

49 สินค้าในบัญชีเฝ้าระวัง
ที่ผ่านมาการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีสินค้าจีนที่แอบอ้างถิ่นกำเนิดในไทย เพื่อหลบเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง เกิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว หลังศุลกากรสหรัฐได้ตั้งข้อสงสัยว่า สินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากไทยนั้น แท้จริงเป็นสินค้าจากจีน หรือประเทศอื่นนำเข้าวัตถุดิบหรือกึ่งวัตถุดิบสำเร็จเข้ามาประกอบเพื่อส่งเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ โดยสินค้าเหล่านี้มักจะถูกเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดจากประเทศต้นทางในอัตราสูง อาทิ สินค้าในกลุ่มแผงโซลาร์ สินค้ากลุ่มข้อต่อท่อเหล็ก น้ำผึ้ง และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเข้ามาตรวจสอบการแอบอ้างถิ่นกำเนิด

เป็นผลทำให้ กรมการค้าต่างประเทศ ต้องออกบัญชีรายการสินค้าเฝ้าระวังการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าในการส่งออกไปยังสหรัฐเป็นการเฉพาะมาตั้งแต่ปี 2565 โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง ศุลกากรสหรัฐ กับกรมการค้าต่างประเทศ และกรมศุลกากรไทย ล่าสุดมีการกำหนดรายการสินค้าที่ต้องทำการเฝ้าระวังไว้ 49 รายการ และจะเพิ่มขึ้นในอีก 5 กลุ่มสินค้า โดยสินค้าแอบอ้างถิ่นกำเนิดเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในพิกัดเหล็กและอะลูมิเนียม, ชิ้นส่วนรถยนต์, แผงวงจร, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, แผงโซลาร์เซลล์ และยางรถยนต์

โดยสินค้าที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง การตรวจคุณสมบัติของสินค้าทางด้านถิ่นกำเนิดเพื่อขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ไม่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Non-Preferential Certificate of Origin) สำหรับสินค้าเฝ้าระวัง ด้วยการให้ผู้ส่งออก/ผู้ผลิตสินค้าต้องแสดง 1) เอกสารหลักฐานที่แสดงว่าประกอบกิจการผลิตสินค้าที่ออกโดยหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจ 2) เอกสารหลักฐานแสดงกระบวนการผลิตสินค้า

3) เอกสารหลักฐานที่แสดงการซื้อขายวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า อาทิ ใบกำกับสินค้า (Invoice)/เอกสารการชำระเงินค่าวัตถุดิบภายในประเทศ กับใบกำกับสินค้า (Invoice)/ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading)/ใบรายการหีบห่อสินค้า (Packing List)/ใบขนสินค้าขาเข้ากรณีที่ใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศหรือวัตถุดิบที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และ 4) เอกสารหลักฐานอื่นที่จำเป็นต่อการตรวจคุณสมบัติของสินค้า ให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ภายใต้ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศผู้นำเข้าหรือไม่ และจะแจ้งผลการตรวจสอบสินค้าให้ผู้ส่งออกเพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบในการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าต่อไป

สำหรับการ “เพิกถอน” ผลการตรวจสอบคุณสมบัติของสินค้าตามบัญชีเฝ้าระวัง จะกระทำได้ต่อเมื่อ 1) มีการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าของประเทศผู้นำเข้าด้วยวิธีการใด ๆ โดยไม่เป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศผู้นำเข้า 2) ข้อมูลการผลิตสินค้าเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นเหตุให้คุณสมบัติของสินค้าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ภายใต้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศผู้นำเข้า

นั่นหมายความว่า ผู้ส่งออกจะไม่มีหลักฐานเพื่อขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ได้ อย่างไรก็ตาม ในการเจรจาเพื่อขอลดภาษีตอบโต้ทางการค้า (Reciprocal) ระหว่างไทยกับสหรัฐล่าสุด สหรัฐยังเห็นว่า มาตรการตรวจสอบจากบัญชีเฝ้าระวังที่ไทยใช้อยู่ในปัจจุบันยังมี “ช่องโหว่” ให้มีสินค้าจากจีน หรือประเทศอื่นส่งผ่านเข้าไปยังตลาดสหรัฐได้
ความยุ่งยากของ Local Content
ในประเด็นนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยกล่าวว่า ในการเจรจาเพื่อลดภาษีตอบโต้กับฝ่ายสหรัฐนั้น 1 ใน 3 หลักการสำคัญก็คือ การป้องกันการสวมสิทธิสินค้า โดยสหรัฐต้องการให้ไทย “เพิ่ม” การใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่มีการผลิตในประเทศไทย (Local Content) จนกลายเป็นโจทย์ที่ต้องดูว่า “สหรัฐจะกำหนดสัดส่วน Local Content ที่เท่าไหร่ อาจจะเพิ่มจาก 40% เป็น 60-70% ที่เป็นต้นทุนที่จะใช้ Local Content ในประเทศไทย หรือจากประเทศต่าง ๆ ที่สหรัฐกำหนดมากขึ้น” นายพิชัยกล่าว

ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า การเจรจาเพื่อทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐในเรื่องของการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าจากประเทศไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงเข้าตลาดสหรัฐนั้น มีความชัดเจนในข้อที่ว่า 1) สหรัฐจะเป็นผู้เสนอตัวเลข Local Content หรือการใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อ “สกัดกั้น” มิให้สินค้าจากจีนหรือประเทศอื่นเข้ามาสวมสิทธิเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทยส่งเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐได้

ในอีกด้านหนึ่งหากการเพิ่มสัดส่วน Local Content บวกกับมาตรการตรวจสอบรายการสินค้าตามบัญชีเฝ้าระวังของกรมการค้าต่างประเทศ ยังไม่สามารถสกัดกั้นการไหลบ่าเข้ามาของสินค้าสวมสิทธิแอบอ้างแหล่งกำเนิดจากกลุ่มประเทศอาเซียน สหรัฐก็พร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล่านี้ในอัตราที่สูงขึ้นไปอีกจากอัตราภาษีตอบโต้ ซึ่งกรณีนี้ เวียดนาม แม้จะบรรลุข้อตกลงเพื่อลดภาษีตอบโต้ลงเหลือ 20% แต่จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้า Transshipping Goods สูงถึง 40% ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสัดส่วน Local Content ตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ ในทางปฏิบัติจะต้องมีการเจรจากันในรายละเอียดกันต่อไป เนื่องจากภายใต้ กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการคำนวณหรือตัดสินว่า สินค้ามีถิ่นกำเนิดจากประเทศใด

ในประเด็นนี้ปัจจุบันมีสินค้าที่มีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบการผลิตภายในประเทศหรืออาเซียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่า FOB หรือเป็นสินค้าที่มีการเปลี่ยนพิกัดอัตราภาษีศุลกากร (Change in Tariff Classification) ในระดับ 4 หลัก (Change in Tariff Heading : CTH) อย่างที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำลังจะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนกับสินค้าประเภท ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี Transshipping Goods และป้องกันมิให้มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากนักลงทุนที่มุ่งหวังที่จะแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เพื่อส่งสินค้าเข้าไปในตลาดสหรัฐ

แต่ในทางปฏิบัติจะพบว่า กฎสัดส่วนมูลค่าการผลิต (% of Regional Value Content/Local Content) ที่ประเทศไทยใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันไปในแต่ละความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยตกลงกับประเทศคู่ค้า อาทิ อาเซียนใช้ 40% + PSR (Product Specific Rule), อาเซียน-จีน 40% + PSR, อาเซียน-เกาหลี 40% + PSR, อาเซียน-อินเดีย 35%, อาเซียน-ออสเตรเลีย/นิวซีแลนด์ 40% + PSR, อาเซียน-ญี่ปุ่น ใช้ PSR, ข้อตกลงไทย-ออสเตรเลีย ใช้ PSR, ข้อตกลงไทย-อินเดีย ใช้ PSR, ข้อตกลงไทย-นิวซีแลนด์ใช้ 50%, ข้อตกลงไทย-ญี่ปุ่น ใช้ PSR และข้อตกลงไทย-เปรู 35%

ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วน Local Content ในกรณีของสหรัฐที่อาจใช้ตัวเลขสัดส่วน 40% เป็น 60-70% อาจจะเป็นสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ หรือในอาเซียนสูงที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน ที่บางอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่ม Local Content ในสัดส่วนที่มากกว่า 50% เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นของสหรัฐนั้น ในประเด็นนี้ก่อนที่จะถึงเส้นตายการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขยายให้จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม คณะเจรจาฝ่ายไทย-สหรัฐอาจจะไม่สามารถตกลงในรายละเอียดที่จะใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณาได้

แต่มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการตกลงกันในกรอบหรือหลักการและเปิดให้มีการเจรจากันต่อไป ภายใต้อัตราภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากกรณี Transshipping Goods อัตราใดอัตราหนึ่งที่ไม่ต่ำกว่า 36%
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.